คอลลาเจน เป็นที่ถกเถียงในวงการวิชาการมานานว่าจริงๆแล้วการทานคอลลาเจนเสริมเป็นผลดีต่อร่างกายหรือเป็นแค่การกล่าวอ้างสรรพคุณเพื่อการตลาด กลุ่มแพทย์และนักวิชาการบางส่วนเห็นว่า คอลลาเจนก็คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เมื่อทานเข้าไปในกระเพาะอาหารก็ถูกกรดในกระเพาะย่อยไปจนหมด หรือร่างกายก็ไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรคือกรดอะมิโนโปรตีนธรรมดาหรือคอลลาเจน แต่ผลการวิจัยสมัยใหม่มากมายเริ่มออกมายืนยันว่า การทานคอลลาเจนเข้าไปเป็นวิธีที่ช่วยชะลอวัย (healthy aging) ได้และคอลลาเจนสามารถถูกดูดซึมไปใช้ในที่ๆร่างกายต้องการทำหน้าที่ต่างจากโปรตีนตัวอื่นๆ
คอลลาเจน ที่จริงแล้วจำเป็นต้องทานเสริมหรือไม่ คอลลาเจนที่ดีที่สุด คือแบบไหน ประโยชน์ ข้อควรระวังและวิธีการเลือกซื้อ
บลอคนี้คนที่สนใจทาน คอลลาเจน จะได้รู้ทุกแง่มุมที่ต้องรู้จากข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานวิจัยสมัยใหม่ยืนยัน
- คอลลาเจนคืออะไร
- ทำไมจึงควร กินคอลลาเจน
- Collagen peptides คอลลาเจนเปปไทด์ กับ Hydrolyzed collagen ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน
- คอลลาเจนไตรเปปไทด์ Collagen Tripeptide คือ
- ประเภทของคอลลาเจน
- คอลลาเจนมีอยู่ในอาหารประเภทไหนบ้าง
- ประโยชน์ของคอลลาเจนที่มีงานวิจัยรองรับ
- กินคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด
- ใครบ้างห้ามทานคอลลาเจน
- 12 วิธีเลือกซื้อคอลลาเจนอย่างชาญฉลาด
- ผลข้างเคียงจากการทานคอลลาเจน
คอลลาเจน คือ โปรตีนที่ร่างกายต้องมี
หนึ่งในส่วนประกอบหลักของทุกๆเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissues) ก็คือ คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากมายในร่างกาย ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ก่อรูปร่างโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) และเอ็นยึดกระดูก (ligament) ผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ (อ้างอิง 1) ผนังกระเพาะอาหาร ผนังหลอดเลือด เส้นขน เส้นผม ฯลฯ
คอลลาเจนมีหน้าที่สำคัญหลายหน้าที่มากมาย หลักๆคือ เป็นเสมือนโครงสร้างกาวที่ยึดร่างกายทุกๆส่วนของเราไว้ด้วยกัน (the body’s scaffolding) เป็นโครงสร้างให้กับชั้นผิวและกระดูก
แพทย์ผิวหนังชื่อดังจากนิวยอร์ค Dr. Whitney Bowe เองก็เคยตั้งข้อสงสัย และ ‘ไม่เชื่อ’ ว่าการทานคอลลาเจนจะทำให้เกิดผลดีกับร่างกายได้ “จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา งานวิจัยหลายชิ้นเริ่มตีพิมพ์ผลงานทดลองและยืนยันว่า คอลลาเจนแบบทานมีผลต่อโครงสร้างและการแสดงออกของผิวพรรณได้อย่างมีนัยยะ” จนเธอเองก็หันมาสนับสนุนข้อเท็จจริงนี้ การทานคอลลาเจนเป็นประจำยังส่งผลดีต่อสุขภาพหลายด้าน อาทิ ลดการบาดเจ็บขอข้อต่อรวมทั้งเข่า(อ้างอิง 2) และทำให้ผิวดีขึ้น (อ้างอิง 3)
Advertisement
ทำไมจึงควร กินคอลลาเจน
นอกจากจะมีในแทบทุกส่วนของร่างกายแล้ว คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังถึง 75% ของเนื้อเยื่อผิวหนังที่ต้ดส่วนของเหลวออกไปแล้ว เป็นส่วนที่ทำให้ผิวหนังดูเต็มอิ่มและช่วยไม่ให้มีริ้วรอย โดยคอลลาเจนมีส่วนประกอบเป็นอะมิโนแอซิดที่ชื่อว่า โพรลีน proline และไกลซีน glycine ซึ่งจำเป็นต่อการคงตัวและซ่อมแซมเนื้อเยื่อเอ็นต่างๆ กระดูก และข้อต่อ คุณหมอ Dr. Whitney Bowe ท่านนี้กล่าวว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายของเรามีการสลายตัวของคอลลาเจนในอัตราที่รวดเร็วกว่าการสร้างทดแทน และเราสูญเสียคอลลาเจนลงไปทุกปี ปีละ 1% เมื่อเราเข้าสู่อายุ 20กลางๆ และสูญเสียคอลลาเจนอย่างรวดเร็วถึงปีละ 30% ในช่วง 5 ปีแรกของวัยทอง
ประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นมีอยู่มากมาย เกินกว่าแค่ด้านความงามตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ เพราะโปรตีนชนิดนี้ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น รวมทั้งยังเข้าไปทดแทนเซลล์ที่ตายแล้ว ทั้งยังเป็นเหมือนเส้นใยกาวที่ช่วยยึดข้อต่อ เอ็นต่างๆ เป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายหลายๆส่วนด้วยกัน
ตามธรรมชาติร่างกายคนเราก็จะเริ่มผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยอื่นๆอาทิ การทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ความบกพร่องทางพันธุกรรม ความเครียด การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ มลพิษ การสูบบุหรี่ การทำลายของรังสียูวีจากแสงแดด การทานอาหารที่มีคอลลาเจนตามธรรมชาติไม่เพียงพอ
เหล่านี้ทำให้คอลลาเจนยิ่งลดลงมากขึ้นอีก ร่างกายแสดงให้เห็นในรูปของการแก่ลงเช่น ริ้วรอย ตีนกา ผิวหนังหย่อนคล้อย กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ ข้อเข่าเสียงดังหรือเจ็บข้อ กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อและข้อเข่าเริ่มบาง การทานคอลลาเจนเสริมเข้าไปทดแทน หรือชะลอการลดลงของคอลลาเจนจึงช่วยให้อาหารเหล่านี้ดีขึ้น
รู้จัก Collagen Peptides คอลลาเจนเปปไทด์ หรือ ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน Hydrolyzed Collagen
คอลลาเจนไตรเปปไทด์ Collagen Tripeptide (CTP) โมเลกุลเล็กที่สุดดูดซึมได้ทันที
คอลลาเจนไตรเปปไทด์ คืออีกก้าวของเทคโนโลยีที่ทำให้จำนวนกรดอะมิโนบนโมเลกุลคอลลาเจนเล็กลงที่สุดและมีน้ำหนักเบากว่า คอลลาเจนเปปไทด์เสียอีก ข้อดีของคอลลาเจนไตรเปปไทด์ที่ล้ำหน้านี้คือ ทำให้ร่างกายดึงเอาคอลลาเจนชนิดนี้เข้าไปใช้ได้แทบทันทีโดยเข้าไปจับกับคอลลาเจนที่อยู่ในผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน และเส้นเอ็นต่างๆได้โดยตรง
จากภาพด้านล่างจะเห็นว่าบนสุดคือ โมเลกุลของคอลลาเจนปกติซึ่งโดยทั่วไปมีกรดอะมิโนถึง 3,000 ชิ้น แถวที่สองคือ คอลลาเจนเปปไทด์ซึ่งมีกรดอะมิโนยาวเรียงกัน 30-100 ชิ้น แต่ภาพล่างสุดคือ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ ซึ่งถูกย่อยลงให้มีกรดอะมิโนเรียงตัวสั้นที่สุดเพียง 3 ชิ้นจึงมีน้ำหนักเบาดูดซึมได้ง่าย ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
หากกำลังมองหาผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเพื่อทานเสริมทางเลือกที่ดีที่สุด ให้มองหาคำว่า คอลลาเจนเปปไทด์ (collagen peptides) คอลลาเจนไฮโดรไซเลท (collagen hydrolysate) ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (hydrolyzed collagen) หรือที่ดีที่สุดคือ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (collagen tripeptides) หรือคอลลาเจนไดเปปไทด์ (collagen dipeptides) บนฉลากด้วยทุกครั้ง
คอลลาเจน มีกี่ประเภท
ค้นพบกันมาว่าคอลลาเจนมีทั้งหมดอย่างน้อย 16 ประเภทในร่างกายคนเรา แต่ราว 80-90%ในร่างกายเป็นประเภท 1, 2 และ 3 โดยประเภทที่ 1 คิดเป็นถึง 90% ของปริมาณคอลลาเจนในร่างกายทั้งหมด ซึ่งคอลลาเจนเองก็มีอยู่ในอาหารที่เราทานกันรวมทั้งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วย (อ้างอิง 4) ซึ่งพอสรุปออกมาได้ดังนี้
- ประเภทที่ 1 / Type 1: เป็นแบบที่มีเยอะที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย ประกอบขึ้นเป็น เส้นใยอีโอซิโนฟิล (eosinophilic fibers) ที่ขึ้นเป็นโครงร่างให้กับส่วนต่างๆของร่างกายเช่น เส้นเอ็น (tendons, ligaments) อวัยวะ ผิวหนัง กระดูก ระบบทางเดินอาหาร และยังสำคัญต่อการสมานแผล มีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผิวหนังยืดหดได้ และหุ้มห่อเนื้อเยื่อต่างๆไม่ให้ฉีกขาด
- ประเภทที่ 2 / Type 2: หน้าที่หลักคือ คอลลาเจนบํารุงกระดูก ช่วยสร้างกระดูกอ่อน ซึ่งสุขภาพของข้อต่อเราขึ้นอยู่กับคอลลาเจนชนิดนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคอลลาเจนนี้สำคัญต่อการป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อ ข้อเข่าและป้องกันอาการของข้ออักเสบหลายอย่าง
- ประเภทที่ 3 / Type 3:เป็นส่วนประกอบของเส้นใยเรติคิวลาร์ และสารเคลือบเซลล์ (extracellular matrix) ซึ่งประกอบขึ้นเป็นอวัยวะหลายส่วนและผิวหนังซึ่งมักพบในบริเวณใกล้เคียงกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 คอลลาเจนประเภทที่ 3นี้ช่วยให้ผิวหนังเฟิร์มยืดหยุ่นเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบของผนังหลอดเลือด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อบางชนิดในหัวใจ การขาดคอลลาเจนประเภทที่ 3 นี้เชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เส้นเลือดหัวใจปริแตกทำให้เสียชีวิตได้
Advertisement
คอลลาเจนมีอยู่ในอาหารประเภทไหนบ้าง?
แหล่งคอลลาเจนหลักๆก็คือ ในอาหารที่เราทานแต่ไม่ใช่ว่าทุกชนิดที่มีโปรตีนสูงจะมีคอลลาเจนอยู่มากเสมอไป นอกจากนั้นแล้วคอลลาเจนที่ได้จากแหล่งต่างกันยังมีคุณสมบัติต่างกันอีกด้วย
- Bovine collagen โบวีนคอลลาเจนจากชิ้นส่วนของวัว: ได้แก่หนัง กระดูก กล้ามเนื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และ 3 ซึ่งเหมาะกับที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ ทั้งยังเต็มไปด้วยไกลซีนและโพรลีน ซึ่งนำไปสร้างครีเอทีน (creatine) กล้ามเนื้อรวมถึงช่วยให้ร่างกายนำไปสร้างคอลลาเจนต่อไป
- Chicken collagen คอลลาเจนจากไก่: ซึ่งเป็นคอลลาเจนประเภทที่ 2 ดีที่สุดสำหรับการสร้างเสริมกระดูกอ่อนประเวณข้อ จึงช่วยสนับสนุนข้อต่อให้แข็งแรงขึ้นได้ และยังมีความสามารถช่วยชะลอวัย อาหารเสริมที่ระบุว่าเป็นคอลลาเจนจากไก่จึงมักให้คอลลาเจนประเภทที่ 2 ซึ่งเน้นบำรุงข้อ
- Fish collagen คอลลาเจนจากปลา: เป็นชนิดที่ดูดซึมได้ง่าย และให้คอลลาเจนประเภทที่ 1 เป็นหลัก มีกรดอะมิโนประเภทไกลซีน (glycine) โพรลีน (proline) และไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline)ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของคอลลาเจนทริปเปิ้ลเฮลิกซ์(collagen triple helix)หากขาดตัวนี้ก็จะมีอาการข้อเสื่อมเป็นต้น เนื่องจากร่างกายคนเราต้องการตคอลลาเจนประเภทที่ 1 มากที่สุดในทุกส่วน การทานคอลลาเจนจากปลาจึงช่วยสนับสนุนเรื่องของผิวพรรณ ข้อต่อ อวัยวะสำคัญๆ หลอดเลือด ระบบย่อยอาหารและกระดูกได้ครบครัน ทั้งนี้ในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนก็จะต้องมีวิตามินซีและออกซิเจนร่วมด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าหากขาดวิตามินซี ระดับคอลลาเจนของร่างกายก็จะลดลงตามไปด้วย เราแนะนำวิตามินซียี่ห้อคุณภาพที่คัดสรรมาแล้วจากลิ้งค์นี้ค่ะ
- Egg shell membrane collagen คอลลาเจนจากไข่: พบในเยื่อหุ้มเปลือกไข่และไข่ขาวซึ่งโดยมากเป็นคอลลาเจนประเภทที่ 1 และมีทั้งกรดอะมิโนหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน กล้ามเนื้อและลดอาการบาดเจ็บ
ประโยชน์ของ คอลลาเจน ที่มีงานวิจัยรองรับ
เราจำเป็นต้องทานอาหารเสริมจำพวกคอลลาเจนหรือไม่เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของเราจะมีคอลลาเจนเพียงพอ และอาหารเสริมคอลลาเจนมีประโยชน์จริงๆหรือ คำตอบของทั้งสองคำถาม จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้นคือ จำเป็น! เพราะอาหารในสมัยปัจจุบันมีรูปแบบแตกต่างไปจากอาหารดั้งเดิมที่ยังมีคอลลาเจนเต็มเปี่ยม อาทิ หนังหมู หนังปลา เกล็ดปลา ตีนไก่ เครื่องใน ซุปกระดูก เป็นต้น แน่นอนว่าอาหารเหล่านี้หาทานใช้เวลาเตรียมเองยากขึ้นในปัจจุบัน
คอลลาเจนยังไม่ใช่เรื่องใหม่ในตำราแพทย์โบราณของจีน บรรบุรุษจีนรู้ดีว่า คอลลาเจนคือขุมทรัพย์ของความอ่อนเยาว์ นั่นคือเหตุผลที่ชาวจีนมีเมนูแปลกอย่าง หูฉลาม หนังลาตุ๋น ตีนไก่ตุ๋น เป็นต้น แต่ตำราแพทย์สมัยใหม่ การพูดถึงเรื่องคอลลาเจนยังเป็นที่ถกเถียงและถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่
การศึกษาหนึ่งในปี 2014 กับผู้หญิง 69 คนพบว่า หญิงอายุ 35-55 ปีที่ทานคอลลาเจน 2.5-5 กรัมทุกวันต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ มีผิวหนังที่ยืดหยุ่นกระชับตัวดีขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทานเสริม นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ทานคอลลาเจนจากไก่วันละ 1 กรัมต่อเนื่อง 12 สัปดาห์มีผิวหนังที่ชุ่มชื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง เลือดฝาดไหลเวียนสู่ผิวหนังชั้นบนได้ดีขึ้น และมีชั้นคอลลาเจนเพิ่มขึ้น 6% (อ้างอิง 5)
และการวิจัยปี 2019 กับผู้ป่วยที่เข้าร่วม 805 คนพบว่า ผลจากการทานคอลลาเจนเสริมเห็นผลได้ชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อความสามารถของผิวในการสมานตัวและชะลอวัยอีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน จึงมีการนำคอลลาเจนไปใช้รักษาคนไข้โรคข้อเข่าเสื่อม บำรุงกระดูกในผู้ที่มีภาวะกระดูกเปราะบาง มีงานวิจัยยืนยันว่าคอลลาเจนถูกดูดซึมผ่านลำไส้และไปสะสมในกระดูกอ่อนได้ มีกลไกการทำงานที่ช่วยให้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ข้อเสื่อม เข่าเสื่อม และโรคเกี่ยวข้อกระดูกมีอาการดีขึ้น
อีกงานวิจัยหนึ่งในปี 2015 ยังพบว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนเปปไทด์ทุกวันติดต่อกัน 12 สัปดาห์มีระดับความชุ่มชื้นนุ่มเนียนของโครงสร้างผิวมากขึ้น และระดับความลึกของริ้วรอยจางลง (อ้างอิง 6).
กินคอลลาเจนตอนไหน อย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด
ภญ. ภิชาญดา จงนวรชัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ดังนี้
- รับประทานขณะท้องว่างเพื่อการดูดซึมที่ดี คอลลาเจนชนิดรับประทานแบบต่างๆนั้น ควรทานตอนเช้าขณะท้องว่าง หรือก่อนรับประทานมื้อแรก 30 นาที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนที่ดียิ่งขึ้น
- ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมคอลลาเจนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
- รับประทานวิตามินซีร่วมด้วย เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อได้รับประโยชน์สูงสุด จึงควรรับประทานคอลลาเจนควบคู่ไปกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เราแนะนำวิตามินซียี่ห้อคุณภาพที่คัดสรรมาแล้วจากลิ้งค์นี้ค่ะ
- องค์การอาหารและยา แนะนำผู้ที่ต้องการกินคอลลาเจนเสริมไม่ว่าจะแบบผงหรือ เม็ดทานได้ 5,000-7,000 มิลลิกรัมต่อวันไม่ควรเกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน และควรเลือกกินคอลลาเจนชนิดสายสั้น (Hydrolyzed collagen) เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนสายยาว โดยสังเกตที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ตอนซื้อ
นอกจากนี้แล้ว เมื่อทานคอลลาเจนเสริมก็ควรต้องทานโปรตีนต่อวันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยเพื่อให้การทานเสริมเห็นผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้นและป้องกันไม่ให้ร่างกายดึงเอาคอลลาเจนไปใช้แทนโปรตีน และควรทานคู่กับวิตามินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดูแลผิวพรรณอย่างวิตามินซีที่ได้กล่าวไปแล้ว วิตามินอี และวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอการแก่ของเซลล์
Advertisement
กินคอลลาเจนกับกาแฟได้หรือไม่
คอลลาเจนเปปไทด์ในท้องตลาดต้องผ่านการย่อยสลายด้วยความร้อนหรือสารละลายมาแล้วรอบหนึ่งเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้การผสมคอลลาเจนในเครื่องดื่มร้อนๆหรือกาแฟ ชา น้ำแกงสามารถทำได้โดยไม่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมคุณภาพถ้าอุณหภูมิสูงไม่เกิน 150ºC หรือ 302ºF
ใครบ้างห้ามทานคอลลาเจน
แม้ว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนเริ่มเห็นพ้องว่า ชั้นก็ควรทานคอลลาเจนเสริม แต่ก่อนจะเริ่มเลือกซื้อนั้นเรามาดูกันว่า ใครบ้างที่ไม่ควรทานอาหารเสริมคอลลาเจน
- เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีเพราะร่างกายยังผลิตคอลลาเจนได้เต็มที่อยู่แล้ว
- สตรีกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเลควรเลี่ยงคอลลาเจนจากปลาทะเล เลือกคอลลาเจนจากแหล่งอื่นเช่น ไก่ หรือวัวแทน
- ผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทานคอลลาเจนเสริมเข้าไป เช่นเกิดอาการคัน ผดผื่นขึ้น ไม่สบายท้อง เป็นต้น ควรหยุดบริโภคทันที
- ผู้ป่วยที่กินยาเป็นประจำ ไม่ควรรับประทาน โรคที่ห้าม กินคอลลาเจน เช่น โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง โรคไทรอยด์ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- โรคประจำตัวอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- เป็นเบาหวานทานคอลลาเจนได้ไหม? ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรเลือกแบบที่ไม่ผสมแป้ง ไม่มีน้ำตาลทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- ผู้ที่แพทย์สั่งจำกัดการรับประทานโปรตีนทุกชนิด
12 วิธีเลือกซื้อและทานคอลลาเจนอย่างชาญฉลาด
คอลลาเจนโดยปกติควรทานต่อเนื่องอย่างน้อย 12 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล เมื่อทานทุกวันสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ
- คอลลาเจน ยี่ห้อไหนดี? ยี่ห้อที่เลือกต้องมีการผลิตที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในมาตรฐาน จึงควรต้องเลือกคอลลาเจนที่มีเครื่องหมายรับรอง จาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือมีเลขอย.ที่เรารู้จักกันดีถูกต้องและคงสถานะถูกต้อง ดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่โฆษณาอย่างกว้างขวางในเวลานี้ร้อยละ 90 ไม่ได้ขออนุญาตจาก อย. และมักโฆษณาเกินจริง ซึ่งหากรับประทานเข้าไปจำนวนมากอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากเกินขนาดจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตจนเกิดอาการไตวายได้
- ได้รับมาตรฐานการผลิตระดับ GMP และ/หรือ HACCP ในโรงงานที่ผ่านการตรวจสอบระบบผลิตที่สะอาดมีคุณภาพระดับนานาชาติ
- เลือกประเภทของคอลลาเจนว่ามาจากแหล่งใด เช่น ปลาทะเล ไก่ เพื่อมั่นใจว่าสามารถทานได้ไม่แพ้ ควบคู่กับการดูชนิดคอลลาเจน เช่น ประเภทที่ 1 เน้นดูแลผิว ผม ทั่วร่างกาย ประเภทที่ 2 คอลลาเจนบํารุงกระดูก ที่เน้นการดูแลข้อต่อ ข้อเข่า ส่วนประเภทที่ 3 เน้นดูแลเส้นเอ็น ผิวหนัง หัวใจ เป็นต้น
- เลือกคอลลาเจนไตรเปปไทด์ ไดเปปไทด์ ไฮโดรไลซ์คอลลาเจน ซึ่งเป็นคอลลาเจนสายสั้นสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
-
คอลลาเจนที่ดีที่สุด ควรปริมาณคอลลาเจนต่อที่ทานต่อครั้งควรอยู่ที่
5,000-7,000 มิลลิกรัม(mg)หรือ 5-7 กรัม(g) ต่อวันไม่ควรเกิน 10,000 มิลลิกรัม(mg)หรือ 10 กรัม(g)
Advertisement
- ดูส่วนผสมอย่างละเอียด เช่น คอลลาเจนพลัสวิตามินใดบ้าง มีวิตามินซีด้วยหรือไม่ ต้องไม่มีส่วนผสมของแป้ง หรือสารกันบูด สามารถเลือกได้ทั้งแบบบริสุทธิ์ซึ่งควรต้องทานวิตามินซีร่วมด้วย หรือแบบที่มีวิตามินซี พร้อมสารสกัดธรรมชาติ วิตามิน A, C, E ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
- สำหรับคนที่รักสุขภาพหรือ เป็นเบาหวาน เลือกคอลลาเจนแบบไม่มีน้ำตาลดีที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างกายรับปริมาณน้ำตาลเพิ่มเข้าไปอีกจากอาหารประจำวัน อันจะทำให้คุณอ้วนขึ้นหรือมีปัญหาระยะยาวได้ ควรระวังแบบที่ผสมสารให้ความหวานกลุ่มน้ำตาลเทียมอย่าง ซูคราโลส(Sucralose) แอสปาแตม (Aspartame) แซกคาริน (Saccharin) อ่านเพิ่มเติมเรื่องสารให้ความหวานแบบไหนอันตรายได้ที่บลอคนี้)
- ดูวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ โดยกะเวลาทานที่จะหมดให้ทันก่อนวันหมดอายุเพื่อให้อาหารเสริมที่ทานยังมีประสิทธิภาพสูงสุด
- รูปแบบ ปัจจุบันมีหลายรูปแบบให้เลือก ทั้งคอลลาเจนผงชงดื่ม อัดเม็ด แคปซูล แบบเยลลี่ เคี้ยวแล้วกลืน หรือผงเท พร้อมทานแบบพกพา แบบกระป๋อง แบบแท่ง แนะนำว่าไม่ควรเลือกแบบกระป๋องขนาดใหญ่เกินไปเพราะเรื่องของสุขอนามัย การเปิดกระป๋องทุกครั้ง แสงแดดส่อง ความชื้นเข้าไป หรือเอามือลงไปตักอาจทำให้มีการปนเปื้อนทำให้คุณภาพสินค้าเสื่อมลง แบบซองพร้อมทานต่อครั้งจึงอาจจะเหมาะกว่า รวมทั้งกับคนที่ไม่ชอบการตักตวงเอง และไม่ได้อยู่บ้านตลอดสามารถพกพาไปทานได้ทุกที่เมื่อนึกขึ้นได้ โดยเลือกตามความสะดวกของตนเอง
- รสชาติของคอลลาเจน ส่วนมากรสชาติของคอลลาเจนจะออกกลิ่นและรสคาว แต่ก็สามารถเลือกแบบมีรสชาติ เช่น รสเบอร์รี่ พีช สตรอเบอร์รี่ องุ่น เป็นต้นทั้งนี้ควรเลือกแบบที่ไม่ผสมสารเคมีในการเจือสี หรือแต่งกลิ่น และเลือกรสชาติจากธรรมชาติที่ถูกใจจะดีที่สุด
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และระวังของปลอมแปลงเลียนแบบ โดยขอข้อมูลผลิตภัณฑ์ส่วนผสม สารอาหารข้อมูลทางโภชนาการให้มากที่สุดจากผู้ขาย ไม่เห็นแก่คำอวดอ้างโฆษณาที่เกินจริงเช่น เห็นผลทันทีใน 3 วัน หรือราคาโปรโมชั่นแสนถูกซึ่งอาจเป็นของลอกเลียนแบบหรือของด้อยคุณภาพ
- ควรเลี่ยงคอลลาเจนที่ทำให้ผิวขาวทุกชนิด ด้วยตัวคอลลาเจนอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้ ส่วนผสมหลักของคอลลาเจนที่อ้างว่าทำให้ผิวขาวคือ สารกลูตาไธโอน การรับเอาสารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ อาจทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นลดลงและอาจตาบอดได้ ทางวารสารการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา จึงจัดสารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางสายตา
advertisement
ผลข้างเคียงจากการทาน คอลลาเจน
การทานคอลลาเจนเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดอีกทั้งวงการแพทย์ไม่แนะนำการฉีดคอลลาเจน
สามารถทานติดต่อกันสูงสุด 10 กรัมต่อวันต่อเนื่องเป็นเวลา 5 เดือนซึ่งมักไม่พบผลข้างเคียงอันตราย (อ้างอิง 7)
ข้อควรระวังมากที่สุดอันดับแรกคือ การทานคอลลาเจนจากยี่ห้อที่ไม่มีคุณภาพ ปลอมแปลง ลอกเลียนแบบ ไม่มีเลขอย.ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงจากสารเคมีที่เป็นส่วนผสม หรือใช้ทานในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม แสบร้อนกลางอก ง่วงซึม ปวดศีรษะ และอาการแพ้ที่ผิวหนัง และรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อไตได้
——————————————–
Cover photo courtesy: Yulia Lisitsa
ข้อมูลอ้างอิงจาก Dr. Axe
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK21582/
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17076983/
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26362110/
https://www.rama.mahidol.ac.th/
https://pharmacy.mahidol.ac.th/
advertisement
ISSA Nutritionist นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพองค์รวม Certified Health Coach พร้อมคุณวุฒิจาก Harvard Medical School ประกาศนียบัตรด้านการออกกำลังกาย หลงใหลศาสตร์แห่งการชะลอวัย รักการทำอาหารสุขภาพจากธรรมชาติให้อร่อยสุดๆ ชอบท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์และตั้งใจให้ความรู้ออนไลน์แบบไม่หวง