การ กิน KETO หรือ คีโตเจนิค ไดเอท (Ketogenic Diet) กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นการทานอาหารที่เน้นทานไขมันเพื่อช่วยลดไขมัน ลดน้ำหนัก นับเป็นทางเลือกใหม่ล่าสุดที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเรียกสั้นๆว่า การกินคีโต KETO เป็นทั้งไลฟ์สไตล์การกินอาหารที่จำเพาะเจาะจงชนิดอาหารซึ่งเน้นไขมันเป็นหลัก และเป็นสูตรลดน้ำหนักประเภทการทานอาหารแบบโลว์คาร์บ ไฮแฟต (low carb high fat: LCHF) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอดอาหาร และยังทำให้ไขมันส่วนเกินที่สะสมภายในร่างกายหายไปอีกด้วย
Diet วิถีใหม่เมื่อ กิน KETO ร่วมกับฟาสต์แบบ Intermittent Fasting
Ketogenic คีโตเจนิค คืออะไร
การกิน KETO มาจากคำว่า “Ketogenic” เป็นการลดน้ำหนักด้วยวิธีรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หรืออาหารที่จัดอยู่ในหมู่คาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด แล้วเน้นรับประทานอาหารประเภทไขมันดี (HDL – High Density Lipoprotein) อย่างน้อย 60% ของแคลอรี่ทั้งหมดต่อวัน ควบคู่ไปกับอาหารประเภทโปรตีนรวมกันให้ได้ประมาณ 75 – 80% เพื่อช่วยปรับระบบเผาผลาญพลังงานให้เข้าสู่สภาวะเลียนแบบการอดอาหาร จากนั้นร่างกายก็จะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล
อัตราส่วนแมคโครนิวเทรียนท์แบบคีโต มีแตกต่างกันไปโดยอยู่ในช่วงตั้งแต่ การทานไขมัน 60-75% ของแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน (หรืออาจมากกว่านี้) 15-30% จากโปรตีน และเพียง 5-10% ของแคลอรี่ต่อวันมาจากคาร์โบไฮเดรต
ข้อดีของการทานอาหารแบบ Ketogenic
สูตรลดน้ำหนักนี้มีข้อดีตรงที่ร่างกายจะปรับการใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาลไปสู่การนำเอาไขมันไปเผาผลาญแทน ซึ่งยังเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานจากไขมันส่วนเกิน เมื่อไม่เกิดการเผาผลาญน้ำตาลตับก็จะไม่หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะคีโตน (Ketone) ผลลัพธ์ที่ได้คือเราไม่รู้สึกปวดศีรษะ เหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลีย และยังช่วยให้ไขมันส่วนเกินกับน้ำหนักลดลงอีกด้วย
คำแนะนำที่ควรทราบเกี่ยวกับ การทานอาหารแบบ Ketogenic
เวลา กิน KETO อาหารแบบคีโตคืออะไร? ตามหลักการของการทานอาหารแบบ Ketogenic นั้นก็คือเน้นอาหารประเภทไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก รองลงมาคือโปรตีนและหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล แต่อาหารประเภทไขมันนี่ล่ะที่อาจจะทำให้สุขภาพของเราแย่ลง เนื่องจากไขมันบางชนิดจะเข้าไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพราะฉะนั้นเราจึงมีข้อมูลที่ควรทราบมาแนะนำดังนี้
- ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้เหลือเพียงวันละ 25 – 50 กรัม
- เน้นการรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงานที่ดี
- เน้นการรับประทานไขมันชนิดดีให้ได้วันละ 70 – 80% จากอาหารที่มีกรดไขมันสายปานกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น
อาหารที่เหมาะสำหรับ Ketogenic
- โปรตีน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อหมูสันนอก เนื้อวัว เนื้อแกะ ปลาที่ทานได้ทั้งตัว เช่น ปลาตาเดียว ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลากะพงแดง ปลาแมกเคอเรล ไข่ไก่ ชีส ครีม ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วอัลมอนด์ ถั่วพิสตาชิโอ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น แต่ควรหลีกเลี่ยงถั่วลิสงเพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง
- ไขมัน ไข่แดง เนย ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ หอย อะโวคาโด น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลือง โดยเป็นน้ำมันที่ผ่านการสกัดเย็น และควรหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์อย่างเช่นมาการีน
- น้ำเปล่า ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือปริมาณ 2 ลิตร เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและปรับสมดุลของร่างกาย อีกทั้งยังสามารถดื่มเครื่องดื่มประเภทชาสมุนไพรหรือกาแฟสูตรหวานน้อยได้อีกด้วย
- Superfood คนทานคีโตส่วนมากมักทานสารอาหารไมโครนิวเทรียนท์ Micronutrients ไม่ถึง เนื่องจากสารอาหารประเภท วิตามิน เกลือแร่ต่างๆมากับ ผักผลไม้ ซึ่งส่วนมากก็จะมาพร้อมคาร์บที่เยอะเกินสัดส่วนซึ่งอาจทำให้ร่างกายหลุดจากภาวะ คีโตน ได้
Superfood ซึ่งมีสารอาหารครบถ้วนและอัดแน่นเมื่อเทียบแคลอรี่ ต่อแคลอรี่แล้วแถมยังมีไขมันดีเช่น Omega 3 หรือ 6 และบางชนิดคาร์บยังต่ำซะอีก ทำให้เป็นตัวเติมความสมบูรณ์ให้ระบบเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ดีกว่าคนที่โฟกัสแค่ Macronutrient ทานแต่ไขมัน โดยละเลยสารอาหารไมโครนิวเทรียนท์ ที่จะทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและรักษาระบบต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ ซุปเปอร์ฟู้ดที่สามารถทานกับคีโตได้ เช่น เบอร์รี่ต่างๆ รวมทั้ง อาซาอิ เบอร์รี่ (Açaí berry) ผักเคล (Kale) สไปรูลินา (Spirulina) ซึ่งมีคาร์บต่ำ แต่สารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญได้อย่างดี เป็นต้น
อาหารต้องห้ามของ Ketogenic
หลักการของการทานอาหารแบบ Keto คือหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรต แต่ยังมีอาหารบางชนิดที่จัดอยู่ในประเภทคาร์โบไฮเดรตด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาหาร 7 ชนิดดังต่อไปนี้ เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักคือแป้งและน้ำตาลนั่นเอง
- เครื่องปรุงรส เครื่องปรุงรสบางชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในรูปของเดกซ์โทส อีกทั้งยังมีส่วนประกอบของแป้งที่จัดอยู่ในประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ซอสพริก ซอลมะเขือเทศ และซอสปรุงรสต่างๆ เป็นต้น ควรดูฉลากก่อนเพื่อตรวจสอบปริมาณคาร์โบไฮเดรต
- ผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ นมสด นมขาดมันเนย นมโคแท้ 100% นมพาสเจอร์ไรส์ นมที่มีปริมาณไขมันต่ำ และน้ำเต้าหู้ เพราะนมมีน้ำตาลแลคโตส ซึ่งถือเป็นคาร์โบไฮเดรตด้วย
- คาเฟอีนจากชาและกาแฟ ควรเลือกดื่มชาและกาแฟที่เป็นสูตร Caffeine free หรือ Non caffeine เพื่อหลีกเลี่ยงสารคาเฟอีนที่จะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น
- สารให้ความหวาน เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลจะทำให้เราเจริญอาหารมากขึ้น ที่พบบ่อยในเครื่องดื่มหวานๆ คือ ฟรุคโตส ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มน้ำตาลสังเคราะห์อย่างเช่น ซูคราโลส ไซลิทอล และสาร Agave Nectar ซึ่งอาจจะผสมอยู่ในเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ผลไม้อบแห้ง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- ผลไม้ต่างๆ ส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล แตงโม มะละกอก็ตาม แต่ผู้ที่กำลังทานอาหารแบบ Ketogenic ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้
- ผักที่มีรสชาติหวาน ควรหลีกเลี่ยงผักสดที่มีน้ำตาลธรรมชาติหรือมีรสหวาน เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ และข้าวโพดอ่อน เป็นต้น
- ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาปฏิชีวนะบางชนิดที่เป็นไซรัปมักจะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในยาด้วย อย่างเช่นยาแก้ไอหรือยาแก้อักเสบ เป็นต้น
ข้อควรระวังในการทานอาหารแบบ Ketogenic
เมื่อเราตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ เมื่อทานอาหารแบบ Ketogenic ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 14 วันแล้ว ควรสลับกับการทานอาหารแบบโลว์คาร์บด้วยวิธีอื่น เพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่ดี อันเนื่องมาจากร่างกายดึงเอาโปรตีนจากเนื้อเยื่อมาใช้ และจะทำให้ร่างกายมีปริมาณกรดยูริกในกระแสเลือดสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคเกาต์หรือนิ่วในไตได้ อีกทั้งยังเข้าไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
ดังนั้นหากเราลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตได้ระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงปรับตัวจึงทำให้รู้สึกราวกับไม่มีแรงหรืออ่อนเพลียง่าย เนื่องจากร่างกายเผาผลาญไขมันจนทำให้มีสารเคมีประเภทคีโตนจำนวนมาก ซึ่งสามารถถ่ายทอดออกมาทางลมหายใจและรูขุมขนได้ จนในบางครั้งอาจจะรู้สึกว่ามีลมหายใจเหม็นนั่นเอง
ทำไม กิน Keto ร่วมกับการทำ Intermittent Fasting ถึงช่วยลดน้ำหนักได้ไวกว่า
กิน keto + if คือ การผสมผสานวิถีการกินแบบคีโต เข้ากับการจำกัดช่วงเวลาแบบ Intermittent Fasting (ย้อนไปอ่าน Intermittent Fasting คืออะไรที่ลิงค์นี้) นั่นคือ ช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาฟาสต์หรือเวลาอดเข้าสู่ช่วง Fed state หรือช่วงทานอาหารได้ การทานอาหารต้องทานแบบคีโตเจนิค นั่นคืออาหารที่ทานต้องมีแคลอรี่ส่วนมากมาจากไขมันเป็นหลัก เลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต
ซึ่งการที่ร่างกายเข้าสู่โหมดเผาผลาญพลังงานจากไขมัน หรือ ช่วงปรับตัวเข้าสู่คีโต (keto adaptation) จนอยู่ในภาวะ คีโตซิส Ketosis คือการที่ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานหลักในทุกช่วงการทำกิจกรรม ร่างกายจะดึงเอาไขมันที่เก็บตามส่วนต่างๆมาเผาเป็นพลังงานหลัก แทนพลังงานจากน้ำตาลและคาร์บ อันเป็นเป้าหมายของการ กิน Keto ซึ่งจริงๆแล้วการทำ IF ก็มีจุดประสงค์คล้ายๆกัน นั่นคือ การฟาสต์คือ การไม่ทานอาหารในระยะเวลานานเพื่อทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากคาร์บและน้ำตาลที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายออกไปให้มากที่สุด แล้วร่างกายจะปรับมาดึงไขมันขึ้นมาใช้แทนหรือพยายามทำให้ร่างกายใช้ไขมันเก่งขึ้น
ความแตกต่าง เอาเป็นว่าเปรียบเทียบง่ายๆ คือ คน กิน Keto เหมือนรถที่เปลี่ยนจากใช้พลังงานน้ำมันมาเป็นไฟฟ้า 100% ส่วน คนทำ Intermittent Fasting ที่ไม่ได้ กิน Keto ก็เหมือนรถยนต์แบบไฮบริด ที่สลับการใช้พลังงานไปมาแบบน้ำมัน สลับกับไฟฟ้านั่นเอง
ข้อดีของการ กิน Keto ผสานกับการทำ Intermittent Fasting
1.ช่วยลดความอยากอาหาร
เพราะการใช้พลังงานจากไขมัน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างต่อเนื่องนิ่มนวล ไม่ต้องเจอภาวะกระชากขึ้นลงของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่ง Keto diet มีงานวิจัยที่ ชี้ว่าเป็นสิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเสถียร ถึงขั้นที่สามารถรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ให้ไม่ต้องทานยาอีกเลย หรืออาจหายขาด ดังนั้นเมื่อทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน ร่างกายก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการใช้ บริหาร ควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงและคงที่ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ร่างกายก็ไม่ต้องเผชิญกับความอยากอาหารแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ความเหนื่อย หมดเรี่ยวแรงแบบน้ำตาลตก หรืออารมณ์เหวี่ยงขึ้นๆลงๆ การทำควบคู่กันจึงช่วยให้การลดน้ำหนักจากไขมันง่ายและเบิร์นไขมันได้ไวขึ้น
2. ช่วยกดความหิว
การทานอาหารแบบ คีโตเจนิค (ketogenic diet) ช่วยทำให้ร่างกายไม่หิว เนื่องจากตับของเราจะเปลี่ยนไขมันเป็นก้อนพลังงานเล็กๆที่เรียกว่า คีโตน (ketone) ซึ่งถูกปล่อยไปตามกระแสเลือดให้ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงาน เจ้าคีโตนเหล่านี้จะไประงับการทำงานของ ฮอร์โมนที่ทำให้หิว หรือ (ghrelin) ซึ่งคนที่กินคีโตจนร่างกายปรับได้แล้วจะมีระดับฮอร์โมนเกรลินต่ำแม้แต่ในเวลาที่ร่างกายไม่มีอาหารเข้าสู่ระบบ แปลว่า คุณจะใช้ชีวิตไปได้โดยไม่รู้สึกหิวได้นานขึ้น โดยไม่ต้องกินอาหารก็ไม่รู้สึกหิว การฟาสต์จึงง่ายขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าต้องการฟาสต์เป็นระยะเวลานานขึ้น
3. ร่างกายเผาผลาญไขมันเก่ง
การ กิน Keto ผสานกับการทำ Intermittent Fasting ช่วยเร่งผลลัพธ์ให้กันและกัน ผลพลอยได้คือ ร่างกายลดน้ำหนักจากไขมันได้รวดเร็วขึ้น เพราะการไดเอททั้งสองแบบ ช่วยเพิ่มอัตราและประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน ไม่ว่าคุณจะจำกัดปริมาณแคลอรี่ต่อวันให้น้อยลงหรือไม่ก็ตาม เมื่อใช้วิธีทั้ง 2 ควบคู่กัน Keto+IF ร่างกายคุณจะกลายเป็นเครื่องเผาไขมันที่เก่งฉกาจ (ถ้าได้รับวิตามิน เกลือแร่ครบ และทานอัตราส่วนไขมันที่ดีสูง) น้ำหนักจึงจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะคีโต จะเข้าไปกดการทำงานของ ฮอร์โมนที่ทำให้หิว หรือ (ghrelin) คุณจึงไม่รู้สึกหิวหรือกินจุบจิบเหมือนเดิม
—————————————————————————————————————————–
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1325029/
Cover image courtesy
ISSA Nutritionist นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพองค์รวม Certified Health Coach พร้อมคุณวุฒิจาก Harvard Medical School ประกาศนียบัตรด้านการออกกำลังกาย หลงใหลศาสตร์แห่งการชะลอวัย รักการทำอาหารสุขภาพจากธรรมชาติให้อร่อยสุดๆ ชอบท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์และตั้งใจให้ความรู้ออนไลน์แบบไม่หวง