พอพูดถึงเรื่องออกกำลังกาย คำว่า คาร์ดิโอ เล่นเวท ต้องผ่านสายตามาเป็นร้อยๆรอบ แต่สำหรับคนที่อยากลดไขมัน ให้หุ่นกระชับแถมไม่ค่อยมีเวลาด้วยแล้วจะทำแบบไหนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คาร์ดิโอ กับเวทเทรนนิ่งคืออะไร คาร์ดิโอกับเวทเทรนนิ่งต่างกันอย่างไร
คาร์ดิโอ เล่นเวท หรือ HIIT เบิร์นไขมันได้ดีกว่า
บลอคนี้จะอธิบายให้กระจ่างจะได้รู้ว่าแบบไหนเหมาะกับการเบิร์นไขมันสร้างหุ่นเซี้ยะที่สุด การออกกำลังกายเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่าง มีสัดส่วนที่ลดลงพร้อมกล้ามเนื้อที่กระชับสวยได้รูป จะต้องทำการออกกำลังกายซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท มาให้รู้จักกัน
1. คาร์ดิโอ (Cardio workout)
การออกกำลังกายที่จะช่วยเผาผลาญพลังงานไขมันในร่างกายออกไป เป็นประเภทเดียวกันกับแอโรบิค แต่จะต่างกันตรงที่ความหนักในการเล่น ซึ่งคาร์ดิโอจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับความแรงเทียบกับอัตราการเต้นของหัวใจ คือ Light Intensity, Medium Intensity, Hard Intensity และสุดท้ายก็คือ Maximum Intensity
แอโรบิค คือ การออกกำลังกายแบบทั่วไปที่ไม่เน้นความหนักมาก เล่นตามสภาพของร่างกายที่เล่นได้ แต่ทั้งสองชนิดก็มีประโยชน์ในการออกกำลังกายเช่นเดียวกัน แล้วแต่ความถนัดของใครว่าจะเลือกใช้แบบไหน อีกทั้งยังเป็นการดึงเอาออกซิเจนมาใช้ในการสันดาปพลังงาน หรือภาษาบ้านๆก็คือการเบิร์นนี่ล่ะ เหมือนกัน
หากไม่คิดอะไรให้มากนัก คาร์ดิโอและแอโรบิคก็คือการออกกำลังกายชนิดเดียวกันนั่นเองซึ่งการออกกำลังกายประเภทนี้ก็มีข้อดีคือ การช่วยเผาผลาญพลังงานไขมันและคาร์โบไฮเดรตออกไป ทำให้อาหารที่เรากินไม่เกิดการสะสมและแปรสภาพเป็นไขมันส่วนเกินที่จะถูกเก็บเอาไว้ในยามฉุกเฉินตามการเอาตัวรอดของร่างกาย
จนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจและปอด เพิ่มความอดทนและช่วยกระตุ้นระบบ ไหลเวียนเลือด และทำให้เหนื่อยได้น้อยลงด้วย ส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดผลที่ดีคือความชอบกิจกรรมนั้นๆ ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 45 – 60 นาที เลยทีเดียว
กิจกรรมที่เผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุดเรียงลำดับ (ทำอย่างต่อเนื่อง 60 นาที) ดูจากบลอคนี้
กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว : 17.6กม./ชม. ได้ 970 kcal
มวยไทย : 800 kcal
กระโดดเชือก : 780 kcal
ขี่จักรยาน : 250-660 kcal
บาสเกตบอล : 360-660 kcal
ว่ายน้ำ : 585 kcal
2. เวทเทรนนิ่ง (Weight training)
เป็นหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มสาวๆ แต่เนื่องจากในอดีตการออกกำลังกายชนิดนี้นิยมมากกว่าในกลุ่มนักเล่นกล้ามชาย ทำให้เราจำภาพแบบผิดๆ ว่าเวทเทรนนิ่งสำหรับสาวๆ ส่วนใหญ่ที่เมื่อออกแล้วจะทำให้ร่างกายใหญ่ บึกบึน มีกล้ามแขนกล้ามขาเป็นมัดๆ ซึ่งไม่ใช่ค่านิยมของผู้หญิงที่รูปร่างเล็กและผอมบาง
ซึ่งนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด! ในความเป็นจริงแล้ว
การเวทเป็นการออกกำลังกายที่ “จำเป็น” สำหรับทุกคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้หญิงจึงไม่ต้องไปกลัวว่ากล้ามเนื้อของตัวเองจะใหญ่เป็นมัดๆ เนื่องจากในผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศชายอยู่น้อย โอกาสที่มันจะสร้างกล้ามเนื้อได้ขนาดเป็นนักเพาะกายจึงต้องใช้ความพยายามและอดทนสูงเป็นอย่างมาก
ดังนั้น การเล่นเวทไม่ได้ทำให้แขนขาใหญ่ขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งข้อดีของมันเมื่อเล่นควบคู่กับคาร์ดิโอก็คือ จะช่วยทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ต่างจากการเล่นคาร์ดิโอเพียงอย่างเดียว เช่น ในขณะที่เราวิ่งบนลู่วิ่ง ร่างกายจะดึงพลังงานจากไขมันมาใช้ แต่พอหยุดเล่นก็เท่ากับว่าหยุดการเผาผลาญในทันที ต่างจากการเล่นเวทหลังจากหยุดแล้วร่างกายก็จะยังสามารถเผาผลาญพลังงานต่อไปได้ แม้จะนั่งหรือนอนอยู่เฉย ๆ ก็ตาม
การเล่นเวทจะช่วยกระชับสัดส่วนของกล้ามเนื้อ ทำให้สาวๆ สามารถมีส่วนเว้าโค้ง มีรูปร่างเรียวเล็กและได้รูปอย่างมีสุขภาพดี ต่างจากคนที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการกินยาลดความอ้วนหรือการอดอาหารเป็นอย่างมาก เวทเทรนนิ่งจึงเป็นตัวช่วยเสริมกล้ามเนื้อที่ดี และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ควรจัดวางโปรแกรมให้เหมาะสมพัฒนากล้ามเนื้อหลายๆจุดเพื่อให้สมส่วน
Weight training คือการออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักหรือแรงต้าน เช่น การยกน้ำหนักที่ให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อ แต่การเล่น Body weight(น้ำหนักตัวของตัวเอง) ก็ถือว่าเป็น weight training ด้วยเช่นกันซึ่งก็เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ได้ไปยิม สามารถออกกำลังกายเองที่บ้าน
ประโยชน์ของการเล่นเวท Weight Training
-
ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ
การยกเวทจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งมวลกล้ามเนื้อในร่างกายมีมากเท่าไรอัตราการเผาผลาญอาหารหรือแคลอรี่ของเราต่อวันจะมีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น คุณจะเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย แม้คุณจะอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็ตาม ผลการวิจัยพบว่า การเพิ่มน้ำหนักให้กล้ามเนื้อมากขึ้น 1.5 กิโลกรัม จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้เร็วขึ้น 7%
-
เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
การที่คนเราอายุมากขึ้นและไม่ค่อยออกกำลังกายจะนำไปสู่กระดูกที่ไม่แข็งแรงอาจมีการแตกหักได้ การออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก(ไม่จำเป็นต้องหนักมากเหมือนนักเพาะกาย) สามารถช่วยเพิ่มมวลกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน
-
เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
การที่คนเรามีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น 1 กิโลกรัมจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นประมาณ75-100แคลอรี่/วัน นั่นหมายความว่าคุณสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้นกว่าคนปกติ และการที่มวลกล้ามเนื้อมากขึ้นจะทำให้รูปร่างและสัดส่วนของคุณดูดียิ่งขึ้นอีกด้วย
-
ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
– เพิ่ม HDL(ไขมันที่ดีต่อร่างกาย) และลด LDL(ไขมันที่ไม่ดี)ได้
– ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน : เพราะร่างกายสามารถจัดการกับกลูโคสได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการต้านทานอินซูลิน
– ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
– ช่วยเรื่องความดัน
– ลดระดับเอสโตรเจน estrogen ที่สูงเกินซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม
– ลดโอกาสเป็นโรคหวัดและโรคอื่นๆ
- อารมณ์ดีขึ้น
หลายคนคงมองว่าทำไมคนออกกำลังกายถึงมีแต่รอยยิ้มแล้วหน้าตาดูสดใส เพราะการออกกำลังกายแบบ weight training จะช่วยกระตุ้นสาร endorphins ซึ่งจะทำให้รู้สึกดีขึ้นและลดความเครียด อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย
- ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย
การออกกำลังกายแบบ Weight training จะช่วยลดไขมันที่เกาะอยู่ตามช่องว่างต่างๆในร่างกายเช่นหน้าท้อง หน้าอก ซึ่งไขมันนี่แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ
- หุ่นดีขึ้น
แน่นอนล่ะ นี่อาจเป็นเป้าหมายหลักของการออกกำลังกายของใครหลายๆคน ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก การออกกำลังกายสามารถทำให้คุณหุ่นและบุคลิกภาพดีขึ้นกว่าก่อนอย่างแน่นอน และคุณรู้หรือไม่ว่า Weight training เป็นวิธีหนึ่งในการลดไขมันชั้นเยี่ยมเลยล่ะ
- ป้องกันการบาดเจ็บ
การที่กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจะสามารถป้องกันการบาดเจ็บต่างๆที่มีโอกาสเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ การฝึกแบบมีแรงต้านสามารถลดโอกาสที่จะล้มลงได้ถึง40% และทำให้การออกกำลังกายชนิดอื่นมีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น
- ทำให้ชะลอความแก่ได้
การออกกำลังกายประเภท Weight training จะช่วยเสริมสร้าง Human Growth Hormone (HGH) ที่จะช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของร่างกายได้ ตามปกติตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ฮอร์โมนดังกล่าวจะลดลงประมาณ 15% ทุก 10 ปี
การฝึกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อจะช่วยให้ร่างกายหลั่ง HGH เข้าสู่กระแสเลือด จึงช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างการเติบโตของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การทำ Intermittent Fasting ก็ช่วยเพิ่มการหลังของโกรทฮอร์โมนเช่นกัน
- เสริมสร้างการทำงานของสมองให้ดียิ่งขึ้น
เพราะการออกกำลังกายแบบ Weight training จะทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดได้ดีกว่าการออกกำลังกายชนิดอื่น
ข้อสำคัญ ควรเติมโปรตีนหลังจากออกกำลังกาย
ปริมาณโปรตีนที่ได้รับหลังจากออกกำลังกายนั้นสำคัญต่อระดับการสังเคราะห์กล้ามเนื้อมาก โดยคำว่า “หลังออกกำลังกาย” นี้หมายถึงหลังออกกำลังไปตลอด 48 ชม ไม่ได้จำกัดที่มื้อแรกหลักออกกำลังกาย
ปริมาณโปรตีนที่ได้รับหลังจากออกกำลังกายนั้นสำคัญต่อระดับการสังเคราะห์กล้ามเนื้อมาก โดยคำว่า “หลังออกกำลังกาย” นี้หมายถึงหลังออกกำลังไปตลอด 48 ชม ไม่ได้จำกัดที่มื้อแรกหลังออกกำลังกาย สำหรับมื้อหลังออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งนั้นก็มีข้อมูลแนะนำว่าควรได้รับอยู่ที่ 20-25 g ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนที่ดี มื้อหลังออกกำลังกายทันทีอาจทานโปรตีน 20 g
โปรตีนบาร์คุณภาพดีจากเวย์โปรตีนที่แนะนำคือ ยี่ห้อเควส ที่มีโปรตีนสูงถึง 21 กรัม น้ำตาลต่ำไม่เกิน 2 กรัม ไฟเบอร์แน่นเลือกรสได้จากลิงค์นี้
3. HIIT หรือ High-Intensity Interval Training
HIIT สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้โดยใช้เวลาสั้น ให้ผลลัพธ์แบบเดียวกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอในเวลาที่น้อยกว่า งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า มันอาจเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการยกน้ำหนักหรือคาร์ดิโอ โดยรวมแล้วมันให้ผลลัพธ์คล้ายกับการทำคาร์ดิโอในแง่ของการลดน้ำหนัก แต่ใช้เวลาในการออกกำลังกายที่น้อยกว่า
ซึ่งนักวิจัยพบว่า HIIT เผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าแบบอื่น 25-30% ซึ่งประโยชน์หลักของ HIIT คือการที่เราใช้เวลาในการออกกำลังกายน้อยลงเนื่องจากมีช่วงเวลาพักแทรกอยู่ระหว่างการออกกำลังกายอยู่แล้ว เริ่มต้นที่เพียง 15 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แปลว่าใน 24 ชั่วโมงหลังการออกกำลังแบบ HIIT ร่างกายจะเผาไขมันและใช้แคลอรี่ได้ต่อเนื่องมากกว่าหลังจากการวิ่่งแบบความเร็วคงที่
จากการศึกษาในปี 2011 ในงาน American College of Sports Medicine Annual Meeting การเทรนแบบ HIIT ในช่วงระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ช่วยยกระดับความสามารถในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้มากเทียบเท่ากับการเทรนฝึกความอึด (Endurance training) ถึง 6 to 8 สัปดาห์เลยทีเดียว
HIIT ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ช่วยเบิร์นไขมันจากไขมันที่กักเก็บไว้แต่ยังรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ HIIT ยังกระตุ้นการผลิตโกรทฮอร์โมน (human growth hormone: HGH) ได้มากขึ้นถึง 450% ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังออกกำลังกายเสร็จสิ้น เจ้าฮอร์โมนนี้ไม่แค่ช่วยเรื่องเผาผลาญแคลอรี่ให้มากขึ้นแต่ยังช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ในร่างกาย ทำให้คุณดูเด็กไปยันระดับเซลล์เลยทีเดียว
จากการรวบรวมข้อมูลงานวิจัย สรุปได้ว่า
คาร์ดิโอเผาผลาญแคลอรี่มากกว่า
ปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับขนาดของร่างกายและความเข้มข้นของการออกกำลังกาย โดยทั่วไปแล้ว การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าเวทเทรนนิ่งในระยะเวลาที่เท่ากัน กลุ่มที่คาร์ดิโออย่างเดียวพบว่ามีอัตราลดไขมันได้มากกว่ากลุ่มที่เวทเทรนนิ่งอย่างเดียว
เล่นเวท เทรนนิ่งช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่ต่อวันได้มากกว่า
ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งจะไม่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้เทียบเท่ากับการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ แต่มันมีประโยชน์อย่างอื่นแทน เช่น เวทเทรนนิ่งจะมีช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อมากกว่า และกล้ามเนื้อจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าเนื้อเยื่ออื่นๆ
รวมไปถึงไขมันในขณะพัก เนื่องจากการสร้างกล้ามเนื้อเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญในขณะพัก โดยมีรายงานว่า อัตราการเผาผลาญในขณะพักสูงขึ้นเป็นเวลา 38 ชั่วโมงหลังจากเวทเทรนนิ่ง ในขณะที่ไม่พบลักษณะการเพิ่มขึ้นแบบเดียวกันหลังการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
ต้องเล่นคาร์ดิโอควบคู่กับการเล่นเวทเทรนนิ่ง
การออกกำลังกายให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดคือการเล่นคาร์ดิโอควบคู่ไปกับการเล่นเวทเทรนนิ่ง เนื่องจากคาร์ดิโอคือตัวช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจและปอด เพิ่มความอดทนและช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยได้น้อยลง
ส่วนเวทเทรนนิ่งจะช่วยในเรื่องการสร้างชั้นกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่และช่วยกำจัดไขมันออกไป แม้ว่าการออกกำลังกายด้วยการเวทเพียงอย่างเดียวจะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อให้เพิ่มมากขึ้นและช่วยกำจัดไขมันออกไปได้ก็จริง แต่ก็มีข้อเสียคือร่างกายจะไม่ค่อยมีความอดทนต่อการออกกำลังกาย
ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ปอดและหัวใจไม่ถูกกระตุ้นให้แข็งแรงมากพอ ดังนั้นการออกกำลังกายที่ดีควรเล่นทั้งคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งควบคู่กันไป จึงจะช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความกระชับของสัดส่วน และความอึดให้ร่างกายได้มากขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการลดไขมันและน้ำหนักหลายคนอาจจะคิดว่าจุดประสงค์หลักนั้นคือการลดไขมันอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อไปด้วยก็เลยตัดสินใจไม่ยุ่งกับการเวทเทรนนิ่งนั้นก็สามารถทำได้
กลุ่มที่ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งควบคู่กับการคาร์ดิโอนั้นพบว่าการลดไขมันและสัดส่วนเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ระยะเวลาเท่ากันลดได้มากกว่า, ลดไขมันและสัดส่วนได้เท่ากันในระยะเวลาสั้นกว่า ส่วนเรื่องกังวลว่าจะได้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นนั้นจากข้อมูลพบว่าไม่ได้เพิ่มเยอะมาก
จะลดไขมันได้ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายแบบ คาร์ดิโอ เล่นเวท เทรนนิ่งควบคู่กันไป และทำให้เห็นผลในการลดไขมันและสัดส่วนดีกว่า
คาร์ดิโอ เล่นเวท อันไหนก่อนหรือหลัง
หลายคนมีข้อสงสัยว่าควรเล่นอะไรก่อนอะไรหลัง ตามหลักมาตรฐานจากเหล่ากูรูฟิตเนสทั้งหลายจะแนะนำให้เริ่มที่เวทเทรนนิ่งก่อน เนื่องจากเป็นการใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อโดยตรง หลังจากเล่นแล้วจะทำให้กล้ามเนื้อหมดแรงและรู้สึกล้าได้ง่าย สรุปว่าการออกกำลังกายหลายแบบเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การคาร์ดิโอสามารถลดมวลไขมันได้ดีกว่าเวทเทรนนิ่ง เมื่อเราออกกำลังกายมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์หากเราเลือกที่จะเล่นคาร์ดิโอก่อนยิ่งจะไปส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหมดแรง การเล่นเวทตามมาจึงไม่เป็นไปตามแผนอย่างที่ควร สรุปแล้วเพื่อให้การออกกำลังกายได้ประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องเริ่มที่เวทเทรนนิ่งก่อน จากนั้นพักด้วยการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อสัก 10 นาที แล้วค่อยต่อด้วยการคาร์ดิโอในลำดับถัดไป
อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มต้นเล่นเวทหรือคาร์ดิโอ จะต้องมีการวอร์มอัพร่างกายอย่างน้อย 10-15 นาทีก่อนเสมอ และหลังจากสิ้นสุดการคาร์ดิโอเป็นลำดับสุดท้ายแล้วจะต้องทำการคลายกล้ามเนื้อเพื่อช่วยลดอาการเจ็บและอักเสบด้วย เพื่อทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นและกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
โปรแกรมออกกำลังกายตัวอย่างที่รวม คาร์ดิโอ เล่นเวท
โปรแกรมออกกำลังกายตัวอย่างนี้ จะเน้นไปที่การสร้างกล้ามเนื้อควบคู่กับการลดไขมันไปพร้อม ๆ กันจะได้ไม่เสียเวลา และโปรแกรมนี้พิเศษมาก ๆ สำหรับคนที่มีเวลาน้อย เพียงใช้เวลา 1 ชั่วโมง และอีก 30 นาทีโดยประมาณในการออกกำลังกายในแต่ละวัน เพียง 3 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น เพียง 1 ชั่วโมงนิด ๆ คิดเป็น 4% หน่อย ๆ ของเวลาที่เรามีต่อวันเท่านั้นเอง
เหมาะสำหรับ : ผู้เริ่มต้น และระดับกลาง
อุปกรณ์ในการฝึก : ดัมเบล
จำนวนท่า/จำนวนเซตและครั้งในการฝึก : จำนวน 6-7 ท่าต่อวัน ฝึกท่าละ 3 ยก ๆ ละ 12 ครั้ง
การทำคาร์ดิโอ : ทำคาร์ดิโอหลังเวท 35 นาทีทุกวันที่ฝึก
ความถี่ในการฝึก : 3 วันต่อสัปดาห์
ความต่อเนื่องของโปรแกรม : 12 สัปดาห์
ผู้จัดโปรแกรม : โค้ชโชค
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกโปรแกรมนี้ : โปรแกรมเวทเทรนนิ่ง 3 วันต่อสัปดาห์นี้ จะเน้นไปที่มัดกล้ามเนื้อชิ้นใหญ่เป็นหลัก โดยเฉพาะอก หลัง และขา ซึ่งผู้ฝึกจะได้เริ่มต้นการสร้างกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ และลดไขมันในแต่ละวันฝึกด้วยการทำคาร์ดิโอ เพียง 35 นาทีต่อวันเท่านั้น เมื่อฝึกตามโปรแกรมจนครบกำหนด ผู้ฝึกจะมีรูปร่างที่สมส่วน มีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น และมวลไขมันลดลง ระบบการเผาผลาญจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
โปรแกรมเวทเทรนนิ่งนี้ จะแบ่งการฝึกออกเป็น 3 วัน ดังนี้
วันจันทร์ฝึก Chest , Triceps ท่าฝึกละ 3 เซต ๆ ละ 12 ครั้ง
Dumbbell Chest Press Upper – 3 x 12 reps
Dumbbell Chest Press – 3 x 12 reps
Dumbell Pull Over – 3 x 12 reps
Dumbbell Fly – 3 x 12 reps
Overhead Dumbbell Extension – 3 x 12 reps
Chair Dips – 3 x 12 reps
Dumbbell Kickback – 3 x 12 reps
หลังเวททำคาร์ดิโอเพิ่ม 35 นาที
วันพุธฝึก Back , Biceps , Abs ท่าฝึกละ 3 เซต ๆ ละ 12 ครั้ง
One Arm Rows – 3 x 12 reps
Bent Over Rows – 3 x 12 reps
Upright Rows – 3 x 12 reps
Deadlift – 3 x 12 reps
Concentration Curls – 3 x 12 reps
Hammer Curls – 3 x 12 reps
Crunch – 3 x 12 reps
Side Crunch – 3 x 12 reps
หลังเวททำคาร์ดิโอเพิ่ม 35 นาที
วันศุกร์ฝึก Legs , Abs ท่าฝึกละ 3 เซต ๆ ละ 12 ครั้ง
Body Squats – 3 x 12 reps
Dumbbell Lunges – 3 x 12 reps
Back Lunges – 3 x 12 reps
Front Lunges – 3 x 12 reps
Dumbbell Squats – 3 x 12 reps
Leg Drops – 3 x 12 reps
Mountain Climbers – 3 x 12 reps
หลังเวททำคาร์ดิโอเพิ่ม 25-35 นาที
Cover image credit: James Haskell Health and Fitness
ขอบคุณข้อมูลจาก dooddot Friendwhey Planforfit Fitschool
ISSA Nutritionist นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพองค์รวม Certified Health Coach พร้อมคุณวุฒิจาก Harvard Medical School ประกาศนียบัตรด้านการออกกำลังกาย หลงใหลศาสตร์แห่งการชะลอวัย รักการทำอาหารสุขภาพจากธรรมชาติให้อร่อยสุดๆ ชอบท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์และตั้งใจให้ความรู้ออนไลน์แบบไม่หวง