ระบบเผาผลาญพัง ระบบเผาผลาญไม่ดี หรือดี เมตาบอลิซึม metabolism เช็คก่อนรู้ก่อน อาหารเสริมฟื้นฟู

ระบบเผาผลาญไม่ดี หรือดี รู้ได้ยังไง คืออะไร? เช็คได้ด้วยตัวเอง จากสัญญาณเหล่านี้

ระบบเผาผลาญพัง เรื่องที่หลายคนเริ่มกังวลเมื่ออายุย่างเข้าเลข 3 หรือเคยลดน้ำหนักแบบผิดๆ ด้วยการอดอาหารจนผอมโซ แล้วกลับมาโยโย่ให้ท้อแท้ใจ บางคนก็เป็นที่ยีนในตัวส่งผลให้ระบบเผาผลาญแตกต่างกัน มีทั้งแบบดีกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนสักที (ก็กลุ้มไปคนละแบบ) หรือระบบเผาผลาญช้าลง กินข้าวไม่กี่คำน้ำหนักก็ขึ้นพรวดพราด แต่ก่อนที่จะเครียดล่วงหน้า ใจเย็นอ่านบทความนี้ให้จบก่อนเพื่อจะได้เข้าใจใสแจ๋ว ว่าระบบเผาผลาญสำคัญมากยังไง คนถึงออกมาเตือนไม่ให้ลดน้ำหนักผิดๆ รวมทั้งสัญญาณบ่งบอกระบบเผาผลาญของคุณพร้อมวิธีแก้เบื้องต้น

ระบบเผาผลาญ คืออะไร สำคัญอย่างไร

ระบบเผาผลาญ (Metabolism) คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยร่างกายแปรให้สารอาหารที่กินเข้าไปให้กลายเป็นพลังงานที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง นั่ง หรือ กิน รวมไปถึงระบบภายในร่างกายต่างๆ อย่าง ระบบย่อยอาหาร การหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ย่อมจำเป็นต้องใช้ ‘พลังงาน’ ทั้งสิ้น นึกภาพง่ายๆถึงรถยนต์ เวลาเติมน้ำมันเข้าไปเครื่องยนต์ก็ต้องเผาน้ำมันน้ำออกมาเป็นพลังงานให้รถวิ่งไปได้ น้ำมันก็คืออาหาร ระบบเผาผลาญเหมือนเครื่องยนต์กลไกในการสันดาปนั่นเอง

พอเห็นภาพก็จะนึกออกแล้วว่าระบบนี้สำคัญมากแค่ไหน อย่างแรกระบบนี้ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อระบบเผาผลาญไม่ดี ระบบอื่นๆ ในร่างกายจึงรวนตามเป็น กระบวน พลอยทำให้ร่างกายทั้งหมดเสียสมดุลไปด้วย ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนเชียวล่ะในการที่จะปรับให้ระบบเผาผลาญกับมาสมดุลอีกครั้ง

สาเหตุที่ทำให้ ระบบเผาผลาญพัง ?

โดยทั่วไปมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อความสามารถอันนี้ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม ฮอร์โมน สภาวะโรคภัยต่างๆเป็นต้น นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ร่างกายจะหยุดเผาผลาญลงในทันทีแบบไม่มีเหตุผล ก่อนหน้าที่ระบบเผาผลาญจะเสื่อมลง จะมีสัญญาณเตือนเราก่อนโดยเริ่มด้วยอาการร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นหวัด ติดเชื้อโรคได้ง่าย น้ำหนักขึ้นง่าย เป็นต้น

1. เริ่มจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่าง ‘อายุ’

โดย ระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ของคนเราจะค่อยๆ เสื่อมตามธรรมชาติลง 5% ทุกๆ 10 ปี เมื่ออายุนำหน้าด้วยเลข 4 ตามมาด้วยเรื่องเพศและสรีระ ซึ่งจะสังเกตว่า ผู้ชายจะเผาผลาญได้ดีกว่า ผู้หญิง เพราะด้วยรูปร่างขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อ และส่วนที่ไร้ไขมันมากกว่านั่นเอง

2. นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ‘ความเครียด’

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายระบบเผาผลาญ ไม่ว่าใครก็ต้องพบเจออย่างเลี่ยงไม่ได้จากสิ่งแวดล้อม รอบตัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการทำงานของต่อมไร้ท่อ ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ สมดุลในร่างกายรวน จนทำให้อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล นอนไม่หลับ และซึมเศร้า

3. การไดเอทลดความอ้วนแบบอดอาหาร

เคยสงสัยมั้ยว่าทั้งๆ ที่กินอาหารก็น้อยแล้ว ออกกำลังกายก็เยอะแล้วทำไมน้ำหนักเราถึงไม่ลดซักที เนื่องจากการไดเอทนั้นทำให้ระดับการเผาผลาญลดลงจากปกติ เข้าสู่ฌหมดการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดตอบรับสภาพที่ได้รับอาหารน้อยๆ กรณีคนที่ลดน้ำหนักโดยวิธีการลดแคลอรี่ลงเยอะๆ (บางคนอาจลงต่ำจนเหลือน้อยกว่า 1,000 Kcal)

ช่วงแรกก็สามารถลดน้ำหนักได้ดีอยู่ โดยส่วนนึงเกิดจากน้ำหายไป (เพราะกินคาร์บน้อย) และเกิดจากการที่ร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยกว่าเดิมมากทำให้ต้องดึงไขมันในร่างกายมาใช้มากขึ้น แต่ทุกคนจะมาถึงจุดๆ นึงที่น้ำหนักไม่ลดลงแล้ว นั่นหมายความว่าร่างกายปรับตัวให้คงน้ำหนักที่ระดับพลังงานประมาณ 1,000 Kcal หากเกิดตบะแตกขึ้นมา หรือออกจากไดเอทตรงจุดนี้ แล้วไปกินอาหารตามปกติจะทำให้น้ำหนักกลับขึ้นมาไวมาก (ภาวะนี้เรียก yoyo effect หรือโยโย่เอฟเฟคนั้นเอง)

4. สารพิษ สารเคมี อาหารแย่ๆที่ตกค้างในร่างกาย

กินผักผลไม้เยอะ (แม้จะไม่หวาน) ทำไมยังอ้วนเอาๆ ก็เพราะภัยที่มองไม่เห็นจากยาฆ่าแมลงในผักผลไม้นี่เองที่เข้าไปขัดขวางกระบวนการเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงานของร่างกาย ทั้งสารพิษพวกนี้ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไทรอยด์ได้ด้วย

ทางที่ดีที่สุดคือพยายามล้างผักผลไม้ให้สะอาดด้วยการแช่เบคกิ้งโซดา หรือชื่อทางเคมีคือ “โซเดียมไบคาร์บอเนต” (Sodium bicarbonate) 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย (รอให้ส่วนผสมเย็น) แล้วนำมาใช้ล้างผักผลไม้ โดยนำมาแช่ทิ้งไว้สักครู่ 15-20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง หรือเลือกรับประทานอาหารที่ปลูกและผลิตแบบออร์แกนิค และไม่ใส่สารเคมีเพิ่มเติม รวมทั้งดีท็อกซ์ร่างกายเป็นครั้งคราว (เลือกซื้อซุปเปอร์ฟู้ดออร์แกนิค บริสุทธิ์ไม่มีสารเคมี 100% ได้ที่นี่)

นอกจากนี้แล้ว ผงชูรส กรดไขมันเลว ไขมันทรานส์ อิมัลซิไฟเออร์ (มีมากในครีมเทียม นมข้นหวาน อาหารที่สำเร็จรูปพร้อมทาน) สารกันบูด แป้งขัดสี เบเกอรี่ต่างๆก็เป็นตัวที่เข้าไปสะสมเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายทำให้ระบบเผาผลาญแย่ลงได้มากกว่าปัจจัยด้านอายุ

ร่างกายของเราจะมีระบบเผาผลาญที่ทำงานช้าลงเมื่ออายุขึ้น 25 ปีเป็นต้นไป ลดลงที่อัตรา 2-4% ต่อปี แต่สารพิษ สารเคมี อาหารแย่ๆที่ตกค้างในร่างกายอาจทำให้ระบบเผาผลาญช้าลงได้มากถึง 30% หรือระบบเผาผลาญแก่ลงไปเกิน 10 ปีอย่างทันทีเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจว่าคนจำนวนมากหันมาทานอาหารแบบอินทรีย์หรือออร์แกนิค รวมทั้งเริ่มดีท็อกซ์ร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยชะลอการลดลงของระบบเผาผลาญ

เรามีสูตรน้ำผักผลไม้ดีท็อกซ์ร่างกายใน 3-5 วัน คลิ๊กได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ 

เมตาบอลิซึม Metabolism พลังงานถูกร่างกายนำไปใช้ทำอะไรบ้าง
ภาพแบ่งการใช้พลังงานทั้งหมดของร่างกาย สีเทาคือ BMR สีเขียวคือ กิจกรรมการเคลื่อนไหวของร่างกาย สีส้มคือ พลังงานที่ใช้ย่อยอาหาร Image credit: vox.com

อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ เมตาบอลิซึม ไม่ใช่ว่าจะควบคุมกันได้ง่ายๆเพียงกินยาเม็ดนึง หรือดื่มกาแฟเข้าไป ระบบคือ ซีรีส์การทำงานของทั้งร่างกายแม้ในช่วงที่เรานอนหายใจ พักผ่อนอยู่เฉยๆ ในร่างกายจะมีอวัยวะหลักๆ ได้แก่ สมอง ตับ ไต และหัวใจซึ่งรวมกันแล้วใช้พลังงานประมาณครึ่งนึงของพลังงานทั้งหมดที่เผาได้ต่อวัน ที่เหลือพลังงานจะถูกใช้โดยไขมัน ระบบย่อยอาหารและกล้ามเนื้อ การจะควบคุมน้ำหนักดูแลร่างกายจึงต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องระบบเผาผลาญเป็นลำดับต้นๆเลย

ในคนส่วนใหญ่พลังงานจำนวนหนึ่ง สมมุติว่าใน 2,000 แคลอรี่ที่ได้รับเข้าไป

อันดับแรก พลังงานส่วนใหญ่กว่า 60-80% ของการใช้แคลอรี่โดยรวม (Total calories expenditure) จะถูกนำไปเผาให้ร่างกายใช้ในการดำรงชีวิตตามปกติ หรือ Basal Metabolic Rate (BMR) หรือค่า BMR อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ที่เรารู้จักกันดี คือ อัตราการเผาผลาญขณะที่เรานอนหลับ หรือ ขณะที่เราพักผ่อนเต็มที่ พลังงานที่ใช้รักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น หายใจ หัวใจสูบฉีดโลหิต และสมองทำงาน และอัตราการเผาผลาญขณะพัก (Resting metabolic rate – RMR) คือ อัตราการเผาผลาญต่ำสุดที่ต้องการเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่และร่างกายทำงานได้ขณะพัก

อันดับที่สอง พลังงานจำนวนรองลงมาจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมทางร่างกาย เช่น วิ่ง ออกกำลังกาย ขึ้นบันได พูดคุย เป็นต้น

อันดับที่สาม พลังงานจำนวนส่วนน้อยนี้ร่างกายใช้ในการย่อยอาหาร

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่า ถ้าระบบเผาผลาญขั้นต้นของร่างกาย (ส่วนสีเทา) ไม่ดีแล้ว  ต่อให้ออกกำลังกายมากขึ้นกว่าเดิมน้ำหนักก็อาจจะไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแค่เล็กน้อย แต่กระนั้นการสร้างกล้ามเนื้อเผื่อช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นก็มีประโยชน์มาก และเป็นหนึ่งในทางออกของการฟื้นฟูระบบเผาผลาญ

ไม่ว่าจะน้ำหนักเท่าไหร่ ยิ่งมีกล้ามเนื้อมาก ไขมันในร่างกายน้อย ก็ยิ่งมีอัตราการเผาผลาญสูง

 

ระบบเผาผลาญไม่ดี หรือดี เช็คได้ด้วยตัวเอง จากสัญญาณเหล่านี้

หลังจากทำความเข้าใจะเรื่องเมตาบอลิซึมตัวเองมาจนถ่องแท้แล้ว บลอคนี้เราจะเน้นวิธีเช็คตัวเองให้รู้ได้ว่า ระบบเผาผลาญดีหรือไม่ดียังไงจะได้หาทางแก้ไขกันไป หลังจากนั้นจะตามด้วยมีวิธีปรับตัวเพื่อแก้ปัญหานี้

สัญญาณว่าระดับการเผาผลาญของร่างกายคุณดี

รูปผู้ชายระบบเผาผลาญดี superfood thailand โปรแกรมเฟิร์มหุ่น low carb high fat intermittent fasting
Credit image : Trainer Nexus

1.น้ำหนักตัวลดลง

การทานอาหารจำนวนมากที่อยู่ในสัดส่วนพอดี จากธรรมชาติมีประโยชน์ และที่สำคัญไม่ผ่านกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่มีสารตกค้างหรือไขมันเลวจำนวนมากเข้าไปตกค้างในร่างกาย ช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมทำงานได้ดีขึ้น

2. รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง กระตือรือร้น

ไม่ง่วงเหงา เฉื่อยชา เพราะร่างกายได้รับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากอาหารที่ทานเข้าไป

3. ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดดีขึ้น

การลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ (อ่าน ไขมันดี ไขมันเลว กินอะไรช่วยลดคอเลสเตอรอล) และน้ำตาลแบบขัดขาว ช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด LDL และไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides)ได้ดี

4. ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น

เวลาที่ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี เราจะเจอปัญหา พุงป่อง กรดไหลย้อน หรือปวดท้องอยู่บ่อยๆ การลดแอลกอฮอล์ อาหารที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมช่วยตรงนี้ได้เยอะ

5. ระบบไหลเวียนโลหิตดี

หากคุณเป็นคนที่ตัวอบอุ่นอยู่ตลอดไม่หนาวง่ายอาจเป็นสัญญาณหนึ่งว่าระบบเผาผลาญให้พลังงานกับร่างกายมีประสิทธิภาพดี นอกจากนี้การทานสารต้านอนุมูลอิสระที่มาจากผักผลไม้หลากสี ยังช่วยในเรื่องนี้ รวมทั้งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ

6. ภูมิต้านทานดี ไม่ป่วยง่าย

ไม่เป็นหวัด หรือติดเชื้อโรคได้ง่าย ไม่เข้าออกโรงพยาบาลหาหมอกินยาอยู่สัปดาห์เว้นสัปดาห์

7. ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ดี

ไม่หิว หรืออยากของหวานตลอดเวลา เพราะระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ การทำ intermittent fasting หรือทานอาหารแบบ Low carb high fat (LCHF) ก็ช่วยส่งผลดีกับร่างกายในเรื่องนี้ได้มากเลยทีเดียว

สัญญาณเตือนว่าระดับการเผาผลาญไม่ดี 

เมตาบอลิซึม Metabolism ทางแก้น้ำหนักขึ้นง่ายด้วยอาหารฟื้นฟู ซุปเปอร์ฟู้ด superfood thailand
Credit image: proctoclinic.gr

1.น้ำหนักตัวไม่ลดลงซักที

ทั้งนี้ระบบเมตาบอลิซึมเป็นหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่ต้องนำมาดู หากน้ำหนักไม่ลดลงทั้งๆที่กินอาหารเพียงพอ ร่วมกับออกกำลังกายแล้ว ปัญหาอาจมาจากความสามารถในการเบิร์นของร่างกาย นอกจากนี้ยังรู้สึกท้องอืด ตัวบวมอยู่บ่อยๆเพราะการย่อยอาหารเริ่มไม่ปกติ ทำให้ร่างกายมีอาหารตกค้างไม่ถูกเปล่ี่ยนเป็นพลังงาน

2.น้ำหนักขึ้นอย่างไม่คาดคิด

บางทีเราอาจเปลี่ยนวิธีการกินอาหาร ทานมากขึ้น เปลี่ยนการใช้ชีวิตทำให้น้ำหนักขึ้นๆลงๆบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่หากน้ำหนักพุ่งขึ้นอย่างผิดสังเกตอาจเป็นหนึ่งสัญญาณที่ต้องระวังว่าเป็นจุดเริ่มมี ระบบเผาผลาญไม่ดี ซะแล้ว

3.ขี้เกียจไปซะทุกอย่าง เหนื่อยอ่อนเพลียตลอดเวลา

พักเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น เพราะระบบการแปรอาหารเป็นพลังงานย่ำแย่ส่งผลต่อระดับพลังงานและรู้สึกมีชีวาลดลง นอกจากนี้การเจ็บป่วยบางอย่างที่ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดลดลงก็ก่อให้เกิดอาการเช่นนี้ได้ด้วย วิธีแก้คือทานธาตุเหล็กหรือวิตามินบีมากขึ้น ร่วมกับการฟื้นฟูระบบเผาผลาญ

4.ผิวพรรณแห้งกร้าน 

ฮอร์โมนตัวที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญและดูแลสุขภาพผิว เล็บให้ดูสุขภาพดีเป็นตัวเดียวกัน พอมันเริ่มไม่สมดุลอาการนี้จึงแสดงออกมาให้เห็นผ่านผิวหนังที่ดูไม่สดใสแห้งกร้านไปด้วย หรืออาจมีอาการคัน หรือผิวมันขึ้น บางทีก็สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีสิวมากขึ้น

5.ผมร่วง

พร้อมๆกับข้อที่ผ่านมาก็คือ ผมอาจเริ่มแห้ง มีอาการผมร่วงผิดปกติ เนื่องจากผมต้องการสารอาหารในการสร้างใหม่และคงรากผมไว้ การเผาผลาญต่ำลงทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ

6.หนาวง่าย

ถ้าอุณภูมิร่างกายต่ำลง ขี้หนาวกว่าเดิม หมายความว่าร่างกายคุณใช้พลังงานได้น้อยลงถึง 130 แคลอรี่ ที่ต้องใช้ในการช่วยอบอุ่นร่างกาย เป็นสัญญาณว่า metabolism rate ของคุณอาจเริ่มมีปัญหา

7.อยากกินของหวานไม่สิ้นสุด

เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดตก รู้สีกไม่มีพลัง เราก็จะอยากน้ำตาลและกินเพื่อเพิ่มแคลอรี่เพื่อชดเชยความรู้สึกนี้ ถ้ารู้สึกอยากขนม น้ำหวานบ่อยๆ เป็นแรง อาจเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณกำลังมีปัญหากับการเบิร์นของร่างกายแล้วล่ะ

ปกติร่างกายจะมีต่อมหมวกไต (adrenal gland)เป็นต่อมไร้ท่อ ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆหลายชนิด เช่น อะดรีนาลิน ช่วยการทำงานของ metabolism อยู่ แถมช่วยเรื่องการเอาไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้ หากเจ้าต่อมนี้เริ่มทำงานไม่สมบูรณ์ก็จะเจอกับปัญหาอยากของหวาน แป้งขัดสี ขนมอ้วนๆ และเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ต้องระวัง

8.ปวดหัวบ่อย โฟกัสไม่ได้

ความเครียดและไมเกรนอาจเกิดร่วมกับไทรอยด์ที่ไม่แอคทีฟซึ่งเป็นตัวทำให้เมตาบอลิซึมช้าลง ฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล (cortisol) ที่ปั่นป่วนก็ทำให้ระบบเผาผลาญไม่สมดุลได้ ซ้ำยังก่อให้เกิดไมเกรนได้ด้วย นอกจากนี้การแปรสภาพอาหารเป็นพลังงานที่ไม่ดีพอทำให้สมองไม่แล่น การทำงานของสมองด้านการคิด ตัดสินใจ การตั้งใจจดจ่อ และความตื่นตัวก็จะลดลง

หากมีอาการที่กล่าวมา รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ผิวแห้งกร้าน ผมร่วงผมแห้ง หน้าตาหม่นหมองนอนไม่หลับ อัตราการเต้นของหัวใจขึ้นสูง  ระบบย่อยอาหารแย่ท้องอืด ท้องเฟ้อ กรดไหลย้อน ระบบฮอร์โมนจะรวน ผู้หญิงประจำเดือนจะมาไม่ปกติ ผู้ชายอาจมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย คงต้องถึงเวลาลุกขึ้นมาปรับโฉม ระบบเผาผลาญแย่ๆของเราอย่างจริงจังแล้ว

วิธีฟื้นฟู ระบบเผาผลาญพัง 

1. เลิกคิดเรื่องการลดน้ำหนักไปก่อน

เพราะต้องกินอาหารเพิ่มเพื่อฟื้นฟูระดับการเผาผลาญ อย่างดแป้ง กลับมาทานให้ครบทั้ง คาร์บ โปรตีน ไขมัน การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีคือการจัดสมดุลให้ร่างกาย เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองว่าแป้งคือตัวร้ายและพยายามงด ยิ่งจะเป็นการทำให้ ระบบเผาผลาญพัง ลงได้ง่ายๆ ค่ะ เพราะฉนั้น ทางที่ดีคือการจัดสรรการกินอย่างถูกวิธี และเลือกกินแป้งแบบคุณภาพที่ย่อยเป็นน้ำตาลได้ช้า (อ่าน คาร์โบไฮเดรตดีเป็นแบบไหน มีในอาหารประเภทไหนบ้าง)ในปริมาณที่พอเหมาะ

2. ค่อยๆ เพิ่มสารอาหารกลับเข้าไป

โดยค่อยๆ เพิ่มสัปดาห์ละ 5-10% ของสารอาหารที่ปกติที่กินอยู่ ทำได้โดยการค่อยๆ เพิ่มแคลอรี่ในอาหาร ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้กินของมันของทอด ของอ้วนๆได้เต็มที่นะ แต่ควรเลือกกินแคลอรี่ที่ดี โปรตีนและวิตามินควรจัดสรรการกินให้พอกับที่ร่างกายต้องการค่ะ ในขั้นตอนนี้เป็นไปได้ว่าน้ำหนักจะขึ้นมาเล็กน้อย แต่ระบบเผาผลาญจะกลับมาดีและจะช่วยลดน้ำหนักได้แน่นอน ช่วงแรกๆ น้ำหนักจะขึ้น แต่ถ้าเพิ่มไปถึงจุดๆนึงน้ำหนักจะเริ่มคงที่อีกครั้ง (บางคนเมื่อเพิ่มสารอาหารไปจนถึงจุดๆ นึงแล้วน้ำหนักจะลดลงทันทีก็มี) นั่นคือสัญญานว่าร่างกายเริ่มปรับตัวให้รับกับสารอาหารที่เพิ่มขึ้นได้แล้ว

3. ลดการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอคือการออกกำลังกายที่เน้นการเบิร์นน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีต่อคนที่ระบบเผาผลาญแบบปกติ แต่สำหรับคนที่ต้องการปรับระบบเผาผลาญ ควรเน้นไปที่การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งแทน โดยการเวทที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อในร่างกาย และสามารถทำให้ระบบเผาผลาญสามารถทำงานได้แบบปกติ รวมทั้งควรงดกีฬา เช่น วิ่งมาราธอน หรือปั่นจักรยานทางไกล เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อขึ้นไปอีก

4. เพิ่มกล้ามเนื้อด้วยบอดี้เวทหรือ เวทเทรนนิ่ง

การออกกำลังเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นการช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญกลับมาดีดังเดิมได้ เสริมด้วยการทานโปรตีนให้เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย เพราะกล้ามเนื้อเนี่ยก็คือเตาเผาผลาญดีๆนี่เอง

5. การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

มีสารอาหารอัดแน่นที่ไม่จำกัดอยู่แค่ โปรตีน ไขมัน คารโบไฮเดรตเท่านั้น Micronutrients ไมโครนิวเทรียนท์ ที่มีในซุปเปอร์ฟู้ด (superfood) ธัญพืช ผักผลไม้ ถั่ว เมล็ดพืช มีสารอาหารที่เร่งกระตุ้นการเผาผลาญ ดีท็อกซ์ไขมัน สารเคมีตกค้างที่ทำให้ระบบเผาผลาญแย่ได้ด้วย

อ่านต่อ 10 วิธีกระตุ้นระบบเผาผลาญแย่ ให้ดีขึ้น ทำได้จริง

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Planforfit Vox.com 123change Fitschool